แสนวิเศษที่จะนึกถึงรางหญ้า ทูตสวรรค์ และค่ำคืนที่พระเยซูมาสู่โลกนี้ แต่นั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของภาพที่ใหญ่กว่ามาก
Courtesy of My Wonder Studio.
0 Comments
เรื่องราวและการ์ตูน
ภาพระบายสี
![]()
ที่พำนักก่อด้วยก้อนหินและอิฐที่ทำจากโคลน ตั้งอยู่บนเนินเขา มองเห็นเบธเลเฮ็มอยู่ไกลริบๆ ครอบครัวของเราเป็นคนเลี้ยงแกะ และผมเป็นลูกคนสุดท้อง ในบรรดาลูกชายห้าคน เรายากจน ชีวิตยากลำบาก หนำซ้ำยังต้องจ่ายภาษีให้กับพวกโรมัน ทั้งๆที่ประสบความยากลำบาก แต่เราไม่เคยหมดศรัทธาในพระเจ้าผู้เที่ยงแท้ หรือคำสัญญาของท่านถึงการมาเกิดของพระมาซีฮา คือพระผู้ช่วยให้รอด
เกิดโศกนาฏกรรมขึ้นวันหนึ่ง ไฟไหม้บ้านของเรา ตอนนั้นผมอายุเพียงเจ็ดขวบ เนื่องจากพ่อกับพี่ชายออกไปเลี้ยงแกะกลางทุ่งกันหมด ไฟลุกลามเร็วกว่าที่แม่ของผมจะดับทัน ขณะที่ผมพยายามวิ่งหนีออกมาข้างนอก ประตูที่ลุกเป็นไฟล้มทับผม แม่ดึงผมออกมา แต่ใบหน้าของผมถูกไฟไหม้อย่างสาหัส ผมจึงมองไม่เห็น ต่อมาแผลที่ถูกไฟไหม้หายเป็นปกติ แต่ผมกลายเป็นคนตาบอด ผมรู้สึกหมดหวังและไร้ปะโยชน์ ผมนั่งอยู่เฉยๆเป็นชั่วโมงๆ จ้องมองความมืดและถามพระเจ้าว่าทำไมท่านปล่อยให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับผม แม่พยายามปลอบใจผม โดยหางานเล็กๆน้อยๆที่ผมพอจะทำได้ บางครั้งพี่ๆก็พาผมออกไปกลางทุ่งด้วย ด้วยเหตุผลอย่างใดอย่างหนึ่ง ผมรู้สึกใกล้ชิดกับพระเจ้ามากขึ้น เมื่อออกไปที่นั่น ราวกับว่าท่านเป็นผู้เลี้ยงแกะ และผมเป็นลูกแกะตัวหนึ่งของท่าน ผู้ซึ่งต้องมีนำทางไปทุกหนทุกแห่ง หลังจากอุบัติเหตุครั้งนั้นผ่านไปห้าปี สิ่งน่าอัศจรรย์ที่สุดเกิดขึ้น เราอยู่ตรงจุดที่ผมโปรดปรานมากที่สุด ขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า พี่ชายบรรยายภาพให้ผมฟัง โดยบอกผมถึงสีของก้อนเมฆทุกสี ช่างงามวิจิตร ดั่งสายรุ้งทอแสงข้ามขอบฟ้า แล้วก็ผ่านพ้นไป ความมืดเข้าปกคลุมโลก เหมือนที่ความมืดเข้าครอบคลุมผม หลังจากที่ฝูงแกะเข้านอน แต่พวกเรายังไม่หลับ ทันใดนั้นเอง มีแสงสว่างขึ้นรอบๆตัวเรา แสงสว่างจ้ามาก แม้แต่ผมยังรู้สึกได้ "นั่นอะไร?" ผมร้องถาม "ไม่รู้สิ" พี่ชายตอบ จากน้ำเสียงของเขา ผมก็รู้ได้ว่าเขากำลังตื่นกลัว ต่อมามีเสียงที่ไพเราะมากดังขึ้น เสียงนั้นแผ่ซ่านด้วยสันติสุข "อย่ากลัว นี่แน่ะ เรานำข่าวดีที่น่าชื่นชมยินดีมาบอกผู้คนทั่วหน้า" มีแต่ทูตสวรรค์ที่กล่าวเช่นนั้นได้! "พระผู้ช่วยให้รอดมาเกิดที่เมืองของเดวิด ท่านผู้นั้นคือพระคริสต์ เรามาบอกสัญญาณให้เจ้ารู้ เจ้าจะได้พบทารกน้อย มีผ้าพันกาย นอนอยู่ในรางหญ้า" ![]()
แล้วทุกคนก็ตกตะลึง เพราะทันใดนั้นมีแสงเจิดจ้ายิ่งกว่าตอนแรกแผ่ออกไปทั่วท้องฟ้า เราได้ยินชาวสวรรค์เปล่งเสียงร้องสรรเสริญพระเจ้า "สง่าราศีแด่พระเจ้าผู้สูงสุด สันติสุขจงมีแด่ชาวโลกผู้ใฝ่หาความดี!" น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก! เสียงของเขาเปี่ยมด้วยสง่าราศีและพลังอำนาจของพระเจ้า! แล้วเขาก็หายวับไป
ทุกคนนิ่งเงียบอยู่หลายนาที ก่อนที่จะมีใครพูดอะไรออกมา พ่อของผมกล่าวขึ้นท่ามกลางความเงียบว่า "พระผู้ช่วยให้รอดมากำเนิด และพระเจ้าเห็นควรที่จะประกาศข่าวดีนี้กับเรา! มาเร็ว! ไปดูทารกน้อยที่เบธเลเฮ็ม ตามที่ทูตสวรรค์บอกกันเถอะ!" เอมอสบอกว่าเขาจะอยู่ดูฝูงแกะ เพราะถึงเวรเขาพอดี "ให้เขาอยู่กับเจ้าได้ไหม?" พ่อถาม ผมรู้ว่าพ่อหมายถึงผม เสียงฝีเท้าของเขาห่างออกไป ขณะที่พ่อและคนอื่นๆเดินไปถึงโค้งแรกตามทางเดิน เอมอสกับผมขยับเข้ามาใกล้กองไฟ "เล่าเรื่องทูตสวรรค์ให้ฟังอีกครั้งหนึ่งได้ไหม,เอมอส" ใจผมร้อนรน พวกเรารอคอยการมาของพระมาซีฮาเป็นเวลาเนิ่นนาน ผมหวังอย่างยิ่งที่จะได้ไปกับพวกเขา แต่จะมีประโยชน์อะไร? ผมสลดใจ เพราะไม่มีวันจะได้เห็นพระผู้ช่วยให้รอด พอผมตื่นขึ้นเช้าวันต่อมา แสงแดดส่องใบหน้าผมให้อบอุ่น แต่ความเศร้ายังอยู่ในใจผม ทันใดนั้นผมได้ยินเสียงผู้คนตื่นเต้นเดินมาตามทาง เสียงตะโกนสรรเสริญ แล้วมีคนเรียกชื่อผม "เห็นพระผู้ช่วยให้รอดหรือเปล่า? เห็นท่านไหม?" "เห็นสิ!" เขาตอบเป็นเสียงเดียวกัน "เราพบท่านตามที่ทูตสวรรค์บอก" พ่อเล่า "มีเพียงรางหญ้า ไม่ได้ดีกว่าของเราหรอก ทว่าเปี่ยมด้วยรัศมีแสนวิเศษ เป็นพระวิญญาณของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์แน่ๆ พวกเราต่างตื้นตันและดีใจ เราคุกเข่าลงและนมัสการท่าน" "นามของท่านคือเยซู" พี่ชายคนโตบอก "เหมือนที่พ่อเล่าให้ฟัง พี่ไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน!" แม้ว่าผมจะไม่เห็นใบหน้าที่มีความสุขของพี่ชาย แต่ผมบอกได้จากน้ำเสียงว่าเขาเปลี่ยนไป เมื่อเราเริ่มออกเดินทางกลับบ้าน ชื่อนั้นยังคงตราตรึงอยู่ในใจผมเยซู เยซู เยซู อีกหลายปีผ่านไป ก่อนที่จะมีข่าวน่าตื่นเต้นมาจากกาลิลี ผู้พยากรณ์คนใหม่ประกาศสั่งสอนเรื่องอาณาจักรของพระเจ้า ฝูงชนมากมายติดตามท่าน และนามของท่านคือเยซู เป็นพระเยซูองค์เดียวกับที่ทูตสวรรค์บอกไว้เมื่อสามสิบปีก่อน ใช่ไหมหนอ? ผมอยากให้เป็นท่านเหลือเกิน และก็อยากได้อยู่กับท่านยิ่งนัก หลังจากนั้นอีกหลายเดือน วันหนึ่งผมไปที่เบธเลเฮ็มกับแม่ ผมได้ยินเสียงร้องตะโกน และเสียงคนวิ่งผ่านผมไป ฝูงชนกลุ่มใหญ่รวมตัวกันอยู่ที่สุดถนน "นั่นอะไร" ผมร้องถาม "เกิดอะไรขึ้น?" "หลีกไป,เจ้าบอด!" มือหยาบกระด้างเช่นเดียวกับเสียงพูด ผลักผมชนกำแพง "ผู้พยากรณ์กำลังผ่านมาทางนี้ พระเยซูแห่งเมืองนาซาเร็ธ!" ท่านจริงๆหรือ? "พระเยซู พระเยซู!" เสียงของผมถูกกลบด้วยเสียงโกลาหลอื่นๆ "พระเยซู พระเยซู" ผมร้องตะโกนดังขึ้น ทันใดนั้นทุกคนก็หยุดตะโกน และหยุดผลักกัน ตอนนี้เกิดอะไรขึ้น? "พระเยซู!" ผมร้องขึ้นอีกครั้งอย่างสุดจิตสุดใจ ![]()
เสียงตอบกลับมาจากเบื้องหน้าผมนั่นเอง เป็นน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยความรักและความเห็นอกเห็นใจ "ใช่ เราเอง เจ้าอยากให้เราช่วยอะไร?"
"พระองค์เจ้าข้า!" ผมเงยหน้าขึ้นด้วยความทึ่งใจ "ผมอยากให้ดวงตาผมหายเป็นปกติ ผมจะได้มองเห็น!" ความรู้สึกน่าอัศจรรย์ใจแผ่ซ่านไปทั่วร่างของผม ขณะที่พระเยซูวางมือของท่านลงบนดวงตาผม และอธิษฐานต่อพระบิดาบนสวรรค์ "โปรดรักษาดวงตาของเขา" ก่อนที่ผมจะลืมตาขึ้น ผมก็รู้แล้วว่าดวงตาของผมหายเป็นปกติ ความรู้สึกสงบสุขและความรักท่วมท้นในใจผม ความเศร้าโศก ความสิ้นหวัง และความกลัวที่มีมาหลายปี ถูกชำระล้างไปหมดสิ้นในชั่วขณะนั้นเอง ผมคุกเข่าต่อหน้าท่าน และเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าที่เปี่ยมด้วยความรักของพระผู้ช่วยให้รอด
Story courtesy of Activated magazine. Image in public domain.
โดย เอลซา ไซครอฟสกี้
เมื่อฉันนึกย้อนหลังถึงเทอมแรกตอนเป็นนักศึกษาปีหนึ่งในวิทยาลัยที่ลืมไม่ลง ภาพชายหนุ่มสูงร้อยเก้าสิบห้าเซนติเมตร หุ่นเก้งก้าง ผมสีดำ ผุดขึ้นมาในหัวคิด สตีฟเป็นรุ่นพี่ปีสี่เรียนคณะเดียวกับฉัน แต่เราพบกันครั้งแรกในหลักสูตรการศึกษาทั่วไป ฉันนึกชมเชยเขา เพราะเขามานั่งแถวแรกกับฉัน ซึ่งนักศึกษาส่วนใหญ่หลีกเลี่ยง ถึงแม้ว่าฉันจำหน้าเขาแทบไม่ได้ เพราะเห็นเขาแค่สองสามครั้งในออฟฟิศที่คณะ เขาทักทายฉันด้วยการพยักหน้า ฉันมีช่วงว่างสองชั่วโมงก่อนเข้าชั้นเรียน จึงมุ่งหน้าไปที่ห้องอ่านหนังสือใกล้ๆ เพื่อเตรียมตัวสำหรับการสอบบทประพันธ์มหากาพย์เรื่องโอดิสซีย์ ฉันต้องประหลาดใจเมื่อเจอสตีฟที่นั่น เขานั่งจิบกาแฟ อ่านเวนิสวาณิช ปรากฏว่าเขามีช่วงว่างสองชั่วโมงเหมือนกัน ฉันนั่งตรงข้ามเขา และหยิบหนังสือขึ้นมา ฉันขี้อายจึงไม่ได้พูดอะไร เพราะรู้ว่าไม่ควรข้ามรุ่น ระหว่างรุ่นพี่ปีสี่กับรุ่นน้องปีหนึ่ง บางครั้งดูเหมือนว่าสตีฟอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ไม่ได้พูดอะไร จึงค่อนข้างน่าอึดอัด ทว่าเขามีทีท่าเป็นมิตร สองชั่วโมงถัดไปเรานั่งอ่านหนังสือเงียบๆ ตลอดหลายสัปดาห์ ทุกวันอังคารเราสองคนจะนั่งตรงข้ามกัน อ่านหนังสือเงียบๆ ถึงกระนั้น การมีใครอยู่ด้วยสักคนก็ช่วยคลายความเหงา จากการที่นักศึกษาทุกคนต้องท่องตำราและศึกษาเล่าเรียนไม่หยุดหย่อน การที่เขาตั้งอกตั้งใจเรียนอย่างสม่ำเสมอ เป็นตัวอย่างยอดเยี่ยมต่อฉัน เพราะฉันดิ้นรนกับสิ่งที่ทำให้วอกแวก รวมทั้งความตื่นเต้นในโลกมหาวิทยาลัยที่กว้างใหญ่และสลับซับซ้อน ดังภาษิตที่ว่า “เหล็กลับเหล็กให้คมได้ฉันใด คนเราก็ลับเพื่อนมิตรให้เฉียบแหลมได้ฉันนั้น”1 ในที่สุด วันหนึ่งที่อากาศร้อน เขาต้องการเปิดพัดลมในห้องอ่านหนังสือ เขาเป็นสุภาพบุรุษ จึงถามฉันก่อนว่าขัดข้องไหม เราพูดคุยกัน และค้นพบว่าเราต่างก็ชอบเชคสเปียร์ ภาษาศาสตร์ และมิสซิสลี อาจารย์ยอดนิยมในคณะ เขาดีใจที่ได้แบ่งปันข้อมูลที่มีประโยชน์ในหลักสูตรนักศึกษาปีหนึ่งที่ฉันเรียนอยู่ และแนะนำหลักสูตรที่น่าสนใจบางหลักสูตร ช่วงที่เหลือของเทอม การเรียนในวันอังคารของเราคั่นด้วยการพูดคุยนิดหน่อย รวมถึงมุกตลกสอดแทรก เราทักทายกันในห้องโถง และเรียนวิชาเลือกด้วยกันในเทอมถัดไป สตีฟได้รับผลประโยชน์น้อยมากจากการพูดคุยกับฉัน แต่ฉันตระหนักว่าเขาไม่เพียงเห็นว่าเรารักการเรียนเหมือนกัน ทว่าเขาเห็นใจที่ฉันเป็นรุ่นน้องปีหนึ่งที่ไม่รู้อะไร เหมือนที่เขาเคยเป็น เขาไม่ได้ปล่อยให้กรอบสังคมกีดกั้นเขาจากการเอื้อเฟื้อ พอฉันขึ้นปีสอง เขาสำเร็จการศึกษา เราขาดการติดต่อกัน อย่างไรก็ตาม ฉันจะสำนึกในบุญคุณสตีฟเสมอ เพราะสิ่งที่เขาสอนฉันจากตัวอย่างของเขา เมื่อบรรทัดฐานทางสังคมขัดแย้งกับการแสดงน้ำใจ ขอให้น้ำใจเป็นตัวตัดสิน เราไม่ควรให้ความสำคัญต่อบรรทัดฐานทางสังคมที่ส่งเสริมการแยกตัว เช่น การแบ่งแยกนักศึกษาปีสี่กับปีหนึ่งในมหาวิทยาลัย เพื่อจะได้มีความรับผิดชอบในการมอบความรักแก่ผู้ที่พบปะ นอกจากนี้ วันอังคารที่เรานั่งอ่านหนังสือเงียบๆ แสดงให้เห็นว่ามิตรภาพที่ดีไม่ต้องสร้างขึ้นจากการเข้าสังคม หรือเสน่ห์ภายนอก มิตรภาพที่ดีมาจากการมีความเคารพต่อกัน ประกอบกับมีความสนใจเหมือนกัน และสิ่งที่อัครสาวกแนะนำไว้ “เหนือสิ่งอื่นใด จงสวมใส่ความรัก เพราะความรักผูกพันเราให้เป็นหนึ่งเดียวกันอย่างสมบูรณ์”2 1. สุภาษิต 27:17 2. โคโลสี 3:14 Text from Activated magazine. Image designed by Brgfx/Freepik and Katemangostar/Freepik.
โดย เอลซา ไซครอฟสกี เมื่อสองสามปีที่แล้ว ฉันได้ร่วมงานกับโครงการจิตอาสา เลี้ยงอาหารนักศึกษาที่ด้อยโอกาส สองปีแรกฉันช่วยทำความสะอาดครัว ซื้อเสบียงอาหาร และเตรียมอาหาร ฉันรู้สึกภูมิใจที่มีส่วนช่วยทำอาหารอร่อย มีคุณค่าอาหารอย่างสมดุล ทว่าประหยัด ผู้นำองค์กรเล็งเห็นความขยันหมั่นเพียรของฉัน จึงมอบความรับผิดชอบแก่ฉันมากขึ้น โดยให้จัดการเงินทุน และจัดเมนูอาหาร อย่างไรก็ตาม ในปีที่สามซึ่งฉันมีส่วนร่วมกับโครงการนี้ ฝ่ายจัดการชุดใหม่เปลี่ยนจุดมุ่งเน้นขององค์กร โดยหันไปจัดการเรียนเสริมทักษะภาษาอังกฤษและวิทยาศาสตร์ แก่นักเรียนที่มีปัญหาด้านวิชาการ ในละแวกที่เป็นจุดเสี่ยง การเลี้ยงอาหารจึงลดลงอย่างมาก เจ้าหน้าในครัวหลายคน รวมทั้งตัวฉันเอง ถูกย้ายไปเป็นผู้ช่วยครู อดีตพ่อครัวแม่ครัวส่วนใหญ่ดีใจที่ไม่ต้องทำงานซึ่งไม่มีใครรู้เห็นในครัว และชื่นชอบการมีปฏิสัมพันธ์โดยตรงกับเด็กๆ ทว่าฉันไม่รู้สึกเช่นนั้น ผักและหม้อในครัวไม่เคยเถียงฉัน ทว่าในห้องเรียนฉันเผชิญหน้ากับนักเรียนที่เอะอะโวยวาย เอาแน่ไม่ได้ และคุณครูที่มีความเห็นส่วนตัวว่าฉันควรจะช่วยเขาอย่างไร ความผันแปรไม่แน่นอนในห้องเรียน รวมทั้งการที่ฉันต้องโบยบินออกจากรังแสนสุข ที่ซึ่งฉันรู้สึกบรรลุผลสำเร็จ และเป็นผู้ควบคุมดูแลสถานการณ์ นี่ทำให้ฉันเสียขวัญ แม้ว่าฉันจะปฏิบัติหน้าที่เบื้องต้น แต่ฉันไม่ค่อยมีความกระตือรือร้นและตั้งอกตั้งใจในห้องเรียน เหมือนที่เคยทำในครัว วันหนึ่งฉันบ่นกับอดีตพ่อครัวด้วยกัน เกี่ยวกับฝ่ายจัดการใหม่ เขาเห็นใจ “ใช่ ไม่ง่ายเลยที่จะเห็นองค์กรซึ่งผมอุทิศเวลาให้อย่างมาก มีโฉมหน้าแตกต่างไป” แล้วเขากล่าวต่อว่า “แต่การเปลี่ยนแปลงคือส่วนสำคัญอย่างยิ่งในชีวิต บางครั้งก็ส่งผลคุ้มค่าที่จะปรับตัวตามกระแส” ![]()
“แต่ฉันไม่ชอบแนวทางที่กระแสไหลไป!” ฉันคัดค้าน “ฉันรู้สึกเหมือนปลาขาดน้ำ”
“จำได้ไหมว่าห้องครัวเคยเป็นสถานที่ใหม่สำหรับคุณเช่นกัน” เขาเตือนใจฉัน “โอ้ ดูเหมือนนานมาแล้ว!” ฉันอุทาน “ใช่เลย คุณเรียนรู้มากมายเกี่ยวกับงานในครัว และคุณจะเรียนรู้มากมายเกี่ยวกับงานสอน ถ้าคุณเต็มใจก้าวออกมานอกพื้นที่สุขสบายในขอบเขตที่คุ้นเคย” หลายปีต่อมา ฉันรู้สึกขอบคุณต่อคำแนะนำจากเพื่อน และยังคงระลึกถึง เพื่อช่วยฉันให้ฟันฝ่าขั้นตอนเจ็บปวดของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเสมอในชีวิต ตราบใดที่ฉันจำกัดตัวเอง โดยทำแต่สิ่งที่ชอบ และสิ่งที่ทำเก่ง การเติบโตส่วนบุคคลก็จะหยุดชะงัก แต่ถ้าฉันคล้อยตามกระแสการเปลี่ยนแปลง และยอมให้มันส่งฉันทะยานไปข้างหน้า ฉันก็จะมีทักษะใหม่ และชื่นชอบประสบการณ์ใหม่ๆ
Image credits: Kitchen image designed by Freepik. Classroom image designed by vectorpocket / Freepik. Image of young woman designed by vectorpouch/ Freepik.
Text courtesy of Activated magazine. Used by permission ![]()
Joyeux Noël (คริสเตียน คาเรียน ค.ศ. 2005) เล่าเรื่อง เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมรภูมิที่ฝรั่งเศส วันก่อนคริสต์มาส ปี ค.ศ. 1914
การรบสู้ครั้งหนึ่งของสงครามใหญ่ (สงครามโลกครั้งที่ 1) มีทหาร 3,000 คน จากกองทัพสก็อตแลนด์ ฝรั่งเศส และเยอรมัน ในวันก่อนคริสต์มาส ฝ่ายเยอรมันมีใครคนหนึ่งเริ่มร้องเพลง “Silent Night” ไม่นานนักก็มีเสียงปี่สก็อตตอบรับ ไม่ช้าไม่นานทั้งสามฝ่ายที่พิพาทกัน ก็ร้องเพลงนั้นอย่างพร้อมเพรียง จากสนามเพลาะที่ห่างกัน 100 เมตร ซึ่งก่อนหน้านั้นไม่กี่ชั่วโมง เขาเข่นฆ่ากัน เป็นภาพที่กลับกันเลย! ความอบอุ่นจากเพลงที่คนทั่วโลกโปรดปราน ขับกล่อมเขาสู่สันติภาพ ฝ่ายที่สู้รบกันกล้าเสี่ยงออกมาจากสนามเพลาะ และตกลงพักรบอย่างไม่เป็นทางการ ตามแนวสมรภูมิบางแห่งมีการพักรบช่วงคริสต์มาสสิบวัน ศัตรูแลกเปลี่ยนภาพถ่าย ที่อยู่ ช็อกโกแลต แชมเปญจ์ และของขวัญเล็กๆ น้อยๆ เป็นการค้นพบว่าพวกเขามีอะไรเหมือนกันมากกว่าที่ตระหนักเสียอีก รวมถึงน้องเหมียวที่เตร็ดเตร่จากฟากหนึ่งไปยังอีกฟากหนึ่ง และผูกมิตรกับทุกคน ซึ่งทั้งสองฝ่ายอ้างว่าเป็นตัวนำโชค ผู้ที่เคยเป็นศัตรูกัน ติดต่อพูดคุยอย่างสุดความสามารถ ในภาษาของแต่ละฝ่าย ผู้บัญชาการฝ่ายเยอรมัน ฮอร์สเมเยอร์ กล่าวกับร้อยโทฝ่ายฝรั่งเศส ออดีเบิร์ต ว่า “เมื่อเรายึดปารีสได้ สงครามจะจบ คุณจะได้ชวนผมไปดื่มที่บ้านของคุณในรัววาวิน!” “คุณไม่ต้องบุกปารีส เพื่อจะได้มาดื่มที่บ้านผมหรอก!” ออดีเบิร์ตตอบ
การผูกมิตรระหว่างฝ่ายที่สู้รบกัน นอกเหนือไปจากการหยอกล้อ ตอนเช้าหลังวันพักรบคริสต์มาสยุติลง แต่ละฝ่ายเตือนกัน ถึงการยิงถล่มที่เขารู้ว่าจะมาจากหน่วยทหารปืนใหญ่ ภราดรภาพที่ผูกพันขึ้นมาใหม่นั้นแรงกล้ามาก จนทหารบางส่วนไปหลบภัยในสนามเพลาะของฝ่ายตรงข้าม เพื่อให้ปลอดภัยจากอันตราย
อะไรเล่านำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่เหลือเชื่อครั้งนี้ เรื่องทั้งหมดเริ่มต้นจากการโปรดปรานเพลงคริสต์มาสเหมือนกัน เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นข้อเตือนใจว่าสงครามมีทางแก้ นั่นคือหยุดสร้างภาพร้ายๆ แก่ศัตรู และเรียนรู้ที่จะรักเขา ดังที่พระเยซูสอนให้เราทำ แน่นอนว่านี่พูดง่ายมากกว่าทำ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เราต้องหัดมองข้ามข้อแตกต่างภายนอก เช่น เชื้อชาติ สีผิว ความเชื่อ และอุดมการณ์ แล้วตระหนักว่าทุกคนมีความจำเป็นเหมือนกัน คือความรัก ทุกคนต้องการมอบความรัก และได้รับความรัก ถ้าเราแต่ละคนจะพยายามทำความรู้จักอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งดูราวกับว่ามีอะไรเหมือนกันน้อยมาก ก็อาจพบว่าเรามีอะไรเหมือนกันมากกว่าที่ตระหนัก ดังที่ทหารในสมรภูมิแห่งนั้นค้นพบ Text adapted from Activated magazine. Used by permission. Images from the movie Joyeux Noel (2005) directed by Christian Carion. Used under Fair Use guidelines. |
Categories
All
Archives
June 2024
|